Pages

เที่ยวเมียวอู (Mrauk U) แล้วจะรู้ ว่าพม่าดิบๆ เป็นยังไง

สวัสดีครับผม หลังจากทริปคราวก่อนเราพาทัวร์พม่าที่เมืองพุกามกันแบบทริปสั้นๆ เสาร์-อาทิตย์กันไปแล้ว หนึ่งเดือนต่อมาทริปนี้ก็เกิดขึ้นครับ ด้วยความที่เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ทำงานอยู่พม่ากัน เที่ยวพม่าจนไม่มีอะไรจะเที่ยวแล้ว จนเหลือตัวเลือกท้ายๆ ที่เค้าว่าเที่ยวยากกัน ทั้งนั่งรถจากย่างกุ้ง 28 ชั่วโมง ต่อเรืออีก 7 ชั่วโมง กว่าจะไปถึงเมืองมรัคอูนั้น เราได้ดั้นด้นหาทางเลือกที่คิดว่าไปสบายที่สุดกันมาฝากครับ สุดท้าย เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ทำงานอยู่พม่าจึงได้มาชวนเรา ซึ่งเป็นศิษย์เก่าสำนักพม่าด้วยกันให้กลับไปเที่ยวอีกครั้ง ซึ่งเป็นที่ที่เหลือที่เรายังไม่เคยไปตอนอยู่พม่า เพราะเดินทางยากนี่ล่ะครับ ไปดูกันดีกว่า ว่าจะสวยและเดินทางสะดวกสบายกันแค่ไหนเชียว

English version coming soon...



ทริปนี้เกิดขึ้นโดยมีตัวตั้งตัวตี 2 คน คือแฟนผม และรุ่นพี่ที่ทำงานที่พม่าครับ หลังจากเคยไปมัณฑะเลย์ อินเล พระธาตุอินทร์แขวน พุกาม หาดงาปาลี หงสาวดี ย่างกุ้ง กันมาหมดแล้ว ก็ถึงคราว มรัคอู หรือ เมียวอูตามที่คนพม่าเรียกกันซะทีครับ

สำหรับเมียวอูนั้นอยู่ในรัฐยะไข่ ทางเหนือติดกับชายแดนประเทศบังกลาเทศ และรัฐชิน ทางตะวันตกติดกับอ่าวเบงกอล ซึ่งมีหาดงาปาลีอันเลื่องชื่ออยู่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศพม่า

ปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้คนไม่มาเที่ยวที่นี่กันเพราะไกลบ้าง เดินทางลำบากบ้าง น่ากลัวบ้าง ไม่ปลอดภัยบ้าง ประสบการณ์ที่เราเจอกับการมาเที่ยวที่เมียวอูนี่ กลับตรงข้ามกับความรู้สึกเหล่านี้ของใครหลายๆ คน การมาเมืองนี้กลายเป็นเรื่องสะดวกสบาย น้ำไฟเข้าถึง ความปลอดภัยเรียกได้ว่าไม่เจออะไรที่จะเป็นภัยกับตัวเลยครับ อาจจะเป็นเพราะเรื่องชาวโรฮิงญา ที่ทำให้สถานที่แถบนี้ดูน่ากลัวขึ้นไปอีก แต่จริงๆ แล้วเมืองเมียวอูนี้ไม่มีเลยครับ จากการคุยกับคนท้องถิ่น เมืองที่มีชาวโรฮิงญาและอาจจะมีความไม่ปลอดภัยอยู่ น่าจะเป็นเมือง Maungdaw ซึ่งอยู่ติดชายแดนบังกลาเทศเลย

ทริปนี้มีผู้ร่วมชีวิต 8 คนครับ ผู้ใหญ่ 6 คน และเด็กน้อยอีก 2 คน กินเวลา 5 วัน 4 คืน รวมเวลาเดินทางแล้วด้วยครับ เรียกได้ว่าค่อนข้างไปดื่มด่ำซึมซับบรรยากาศ เต็มอิ่มกับรัฐยะไข่เลยทีเดียว หรือใครจะแบ่งเวลาไปหาดงาปาลีด้วยก็ไม่ว่ากันนะครับ เราใช้เวลาเที่ยวกันจริงๆ 4 วันแบบชิวๆ ไม่เร่งรีบ ซึมซับวิถีชีวิตแบบพม่าดิบๆ กับอย่างเต็มที่ วันแรกนั้นเป็นวันเดินทาง ถึงก็เกือบเย็นๆ ล่ะครับ ไปดูแผนการเดินทางกันดีกว่า

การเดินทางหลักๆ จะเป็นเครื่องบิน กรุงเทพ-ย่างกุ้ง แล้วต่อ ย่างกุ้ง-ซิตต่วย แล้วนั่งรถตู้เช่าซิตต่วย-เมียวอู แล้วใช้คันนี้ล่ะครับ ตระเวณเที่ยวทั่วเลย ซึ่งปกติแล้วที่เขาเดินทางกันนานๆ ก็คือช่วงซิตต่วย-เมียวอู นั่งเรือถ่อกันมา 7 ชั่วโมงครับ แล้วเข้าไปเช่ารถเที่ยวเป็นวันๆ ไปในเมืองเมียวอู แต่เนื่องจากเดี๋ยวนี้ถนนระหว่างเมืองดีขึ้นมาก (ถึงแม้ระหว่างทางจะยังมีทำทางอยู่บ้าง) จนสามารถเดินทางด้วยรถกินเวลาเพียง 3-4 ชั่วโมงเองครับ สะดวกขึ้นเยอะ และประหยัดค่าเช่ารถในเมืองเที่ยวได้มาก แถมยังแวะเที่ยววัด และเมืองระหว่างทางได้อีกด้วย ในขณะที่การนั่งเรือนั้นทำไม่ได้

ทริปเราเริ่มจากกรุงเทพฯ ดอนเมืองไปย่างกุ้งครับ ชั่วโมงกว่าๆ (ไปเช้าก็ดีครับ ถ้าไปไฟลท์เที่ยง เจอตม พม่าคิวยาวขึ้นมา ออกไปไฟล์ทต่อไปไม่ทันพอดี) ต่อด้วยไฟลท์ย่างกุ้ง-ซิตต่วย ประมาณ 1 ชั่วโมงด้วยสายการบิน MNA หรือ Myanmar National Airline ในช่วงบ่ายๆ กว่าจะไปถึงก็เย็นๆ พอดีครับ



สภาพรถขนกระเป๋าที่ Sittwe Airport



ค่าเดินทางของเรา เนื่องจากเป็นทริปที่ค่อนข้างกะทันหัน ฉะนั้นเรื่องตั๋วโปร ราคาถูก ลืมไปได้เลย แค่ไป-กลับ กรุงเทพฯ-ย่างกุ้ง ก็ 4,000 บาทแล้ว เจอย่างกุ้ง-ซิตต่วย เข้าไปอีก 6,400 บาท ก็เริ่มจุกเบาๆ ยังไม่ทันเริ่มทริปเจอไปหมื่นบาทแล้ว (แต่ถ้าแลกกับการนั่งรถทัวร์ 28 ชั่วโมงจากย่างกุ้ง บนถนนอันแสนเรียบของเมืองหม่องแล้ว ก็คุ้มอยู่นะครับ) การเดินทางหลังจากนี้เราติดต่อผ่านโรงแรมใน Sittwe หรือ ซิตต่วยกันหมดเลยครับ จากสนามบินสู่โรงแรมในซิตต่วยเป็นการเดินทางด้วยรถกะป้อมารับเราครับ (รวมอยู่ในค่าโรงแรมคืนละ 75 เหรียญต่อห้อง)

คืนนี้เราพักกันที่ซิตต่วย ชื่อโรงแรม Hotel Memory แล้วหาข้าวเย็นกินที่ร้าน Arian พรุ่งนี้เช้าเราจึงจะออกเดินทางสู่เมืองเมียวอู (Mrauk U) กันละครับ รถตู้ที่ติดต่อผ่านโรงแรมให้โรงแรมหาให้นั้นคิดราคา 4 วัน 3 คืน อยู่ที่ 300,000 จ๊าดเท่านั้น หรือราวๆ 7,500 บาท (รวมค่าน้ำมันแล้ว) เราไปกัน 8 คน ก็คนละไม่ถึง 1,000 บาท คุ้มจนไม่รู้จะคุ้มยังไงสำหรับการเดินทางและเที่ยว 4 วัน ก๊วนคนไทยที่เจอกันที่เมืองเมียวอู ถึงกับตกอกตกใจกันมากกับราคานี้ เรามารู้กันทีหลังว่าคนขับเราเขาพึ่งเริ่มขับครับ เลยให้ราคาเรทต่ำหน่อย เพื่อดึงนักท่องเที่ยวให้มารถเค้า ใครจะไปหลังไมค์มาได้ครับ เค้าบอกว่าแนะนำมาได้ เค้าจะให้เรทพิเศษเช่นกันครับ (แต่อาจแพงกว่าของเราเนอะ ถ้าเค้างานชุกขึ้นเรื่อยๆ)
















หลังทานอาหารเสร็จก็เข้าพักผ่อนในที่พักครับ รุ่งเช้าเริ่มจากการไปเดินตลาดปลาของเมืองซิตต่วยกันก่อน แล้วแวะเที่ยววัด Lawkananda ต่อด้วยหาดเมืองซิตต่วยในยามเช้าส่งท้ายด้วยรถตู้คันนี้ ก่อนออกเดินทางจากเมืองซิตต่วยสู่เมียวอูครับ


มุ่งหน้าสู่ตลาดปลาในตอนเช้า คนเดินกันขวักไขว่ ตลาดปลา ประมูลปลากันเป็นว่าเล่น เล่นวางกับพื้นแบบนี้ก็ได้หรา นี่ถ้ามีปลาดิบด้วยจะซื้อมากินละ ปลาดิบคลุกหมากถุยบนพื้นคงอร่อยลื้มมมม















วัดประจำเมือง วัด Lawkananda ครับ





ไปต่อกันที่ริมหาดเมืองซิตต่วย






ที่นี่เราได้พบกับสุนทรภู่สาขา 2 ต่อจากเมืองระยองครับ อีกไม่ช้าคงจะมีนิราศเมืองซิตต่วย 555



ระหว่างทางก็พักกินข้าวกลางวันกันก่อนครับ ร้านแถบนี้จะมีแต่อาหารพม่านะครับ ไม่เหมือนเมืองก่อนๆ ที่เราเคยไปมา อย่างพุกามนี่ อาหารฝรั่ง อาหารไทย แบบคล้ายๆ พอหาได้ แต่แถบนี้พม่าล้วนนะครับ ใครที่กินยากแนะนำติดข้าวปลาอาหารแห้งมาเองด้วย ยิ่งใครไม่ใช่ธาตุแข็งไม่ควรเสี่ยงอย่างยิ่งครับ แฟนเราท้องเสียไประหว่างทริปจนพลาดการเที่ยวไปวันนึงเต็มๆ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟัง ส่วนเรานั้นดีเลย์กว่า ไปท้องเสียวันกลับพอดีครับ แทบคลานขึ้นเครื่องบิน อัดเกลือแร่แทบไม่ทัน เกือบขึ้นเครื่องไม่ไหวเลยทีเดียวครับ หน้าตาอาหารพม่าก็จะประมาณนี้
















กินกันเสร็จก็ต้องไปแวะวัดที่ชาวเมืองยะไข่ว่ากันว่าเป็นพระมหามัยมุนีองค์จริงครับ ซึ่งเค้าแอบไว้ตอนที่เมืองโดนตี แล้วหลอกให้พระเจ้าปดุง อัญเชิญพระมหามัยมุนีองค์ปลอมไปไว้กันที่เมืองมัณฑะเลย์แทน ใครที่ไปมัณฑะเลย์ดูพิธีล้างหน้าพระมหามัยมุนีกันมาแล้ว ยังต้องมาที่วัดนอกเมืองเมียวอูอีกที่นะครับ เพื่อการันตีว่าได้มาดูองค์จริงแล้ว โดยปกติคนที่มาเที่ยวเมียวอูทางเรือ จะต้องหารถเพื่อวิ่งออกมาวัดนี้นะครับ แต่ของเราเนื่องจากวิ่งรถมาจากซิตต่วยเลยจึงเป็นทางผ่านให้แวะเที่ยวก่อนถึงเมืองเมียวอูได้เลยครับ









ระหว่างทางแถบนี้เราจะเจอรถเปิดเพลงแนว EDM ตื้ดๆๆ แล้วมีวัยรุ่นขย่มอยู่บนรถ อารมณ์เหมือนรถกระบะบ้านเราเปิดเพลงช่วงเล่นสงกรานต์ยังไงยังงั้นเลยครับ ทำให้ได้รับรู้ว่าเพลงแนวนี้มันเข้าไปสู่สายเลือดคนพม่าแถบนี้กันหมด นอกเมืองก็มีแล้ว ในเมืองเมียวอูนี่ยิ่งกว่าอีกครับ เปิดกันหน้าเจดีย์กับวันเลยนี่สิ พม่าของแท้



บ่ายแก่ๆ เราก็เดินทางมาถึงเมืองเมียวอูครับ พักกันที่ Mrauk U Hotel เช็คอินเข้าห้องน้ำกันเรียบร้อย ก็เตรียมออกเที่ยวกันได้เลยครับ เหลือเวลาเที่ยวเล็กน้อยก่อนจะกลับมาปีนเขาดูพระอาทิตย์ตกดินกัน เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเมืองนี้ก็คือ มีเจดีย์เก่าๆ เยอะ คล้ายๆ กับเมืองพุกามครับ ความแตกต่างของมันก็คือ ที่เมืองเมียวอูนั้น อาจจะไม่เห็นเป็นทะเลเจดีย์ยิ่งใหญ่เท่าเมืองพุกาม แต่สเน่ห์อยู่ที่ แทบทุกเจดีย์จะอยู่บนยอดเขาครับ เรียกได้ว่าจะดูวิวที ต้องขึ้นกันหลายเขาเลยทีเดียว เดินขึ้นนะครับ ไม่ใช่รถพาวิ่งขึ้น รถจอดส่งได้อยู่แค่ตีนเขาเท่านั้น และจากยอดเขานั้นเองจะทำให้เราเห็นทะเลหมอกแทรกอยู่ตามหุบเขาครับ รวมถึงเส้นแสงอาทิตย์เวลาสาดผ่านเมฆหมอกเหล่านี้ สร้างภาพ Landscape อันงดงามยิ่ง ให้แก่เมืองๆ นี้ ใครขี้เกียจอ่านต่อ ก็เลื่อนๆ ลงไปชมความสวยงามของรูปกันได้เลยนะครับ







สถานที่เที่ยวของเราวันนี้จะเป็นวัดหลักๆ ก่อนนะครับ วัดรองๆ ทั้งหมด เราจะไปวันพรุ่งนี้ครับ เริ่มด้วยวัดแรกที่พลาดไม่ได้คือ วัด ชิตตองพญา หรือวัดพระ 8 หมื่น ซึ่งจะเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปจำลองกว่า 80,000 องค์ประดิษฐานอยู่ภายในวัดแห่งนี้ครับ เอาแผนที่เที่ยวเมืองเมียวอูมาฝากกันด้วยครับ








คาดว่าวัดนี้น่าจะเป็นวัดที่อยู่บนเนินเขาที่เตี้ยที่สุดในเมืองแล้วครับ และรถสามารถเข้าถึงได้ ส่วนภายในทางเดินค่อนข้างแคบนะครับ แนะนำ เลนส์ไวด์สักนิด ถ้าอยากถ่ายพระพุทธรูปตามกำแพงด้านใน อาจจะช่วง 17-40 หรือ 24-70 ก็พอไหวสำหรับกล้อง Full frame ครับ วัดนี้สร้างโดย พระเจ้ามินบินในปี พ.ศ. 2078 เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ด้านในก็ประดับประดาไปด้วยประติมากรรมเกี่ยวกับเรื่องราวในพระพุทธศาสนา และพระพุทธรูปเรียงรายตามทางเดินภายในครับ









เดินออกไปใกล้ๆ กันคือวัด Andaw-Thein สำหรับวัดนี้จะอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัดชิตตอง ชื่อวัดแปลว่าพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งมีพระธาตุเขี้ยวแก้วอยู่ภายใน มาจากศรีลังกานั่นเอง










จากวัด Andaw-Thein มองไปทิศเหนือจะเห็นเจดีย์ Yadanar Pon และภูเขาสูงอยู่ด้านขวามือ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือครับ ภูเขาลูกนี้เองที่เราเล็งไว้เป็นจุดชมวิวสำหรับพระอาทิตย์ตกเย็นนี้






วัดต่อไปเป็นวัดโกตอง หรือวัดเก้าหมื่น ซึ่งมีเจดีย์สีดำองค์เล็กๆ อยู่รอบๆ เจดีย์องค์ใหญ่ตรงกลางครับ เป็นเอกลักษณ์ของวัดแห่งนี้ การเดินทางมาวัดแห่งนี้นั้นไม่ไกลจากที่พักในเมียวอูครับ แต่เส้นทางนี่ยอมรับว่าถ้าเป็นรถเราเอง คงไม่กล้าขับเข้ามาเป็นแน่ รถตู้เราขอคิดราคาเพิ่ม 60,000 จ๊าดครับ ค่าความเสี่ยงล้อพัง 555 ไม่งั้นเค้าบอกให้ไปเช่ารถกะป้อเอาเอง ด้านในของเจดีย์แถบนี้ก็จะคล้ายๆ กันหมดครับ คือมีพระพุทธรูประหว่างทางเดินขนาบทั้งซ้ายและขวา หรือบางทีด้านนึงอาจจะเป็นลวดลายสถาปัตยกรรมหรือเป็นภาพเรื่องเล่าทางพระพุทธศาสนาครับ












เราเคยเห็นภาพพระเดินบนเจดีย์เหล่านี้ และเป็นภาพที่เชิญชวนให้เราหลงใหลในการมาที่นี่และอยากถ่ายให้ได้บ้างครับ ปรากฏว่าไม่เจอพระเดินด้านนอกสักรูปเลยครับ สุดท้ายมาเจอเณรน้อยองค์นี้เข้า


พยายามเชิญชวนให้หลวงเณรขึ้นไปบนเจดีย์ แต่ไม่สำเร็จครับ ถ่ายได้ดีที่สุดเท่านี้


เรากลับมาแถบวัดชิตตองกันในตอนเย็นเพื่อเตรียมขึ้นเขาดูพระอาทิตย์ตกดินครับ เนื่องจากยังพอมีเวลาเหลือ จึงได้แวะอีกวัดนึงตรงข้ามวัดซิตตองทางทิศตะวันตก นั่นก็คือวัดทุกข์ขันธ์เทียนครับ สร้างในปี พ.ศ. 2113 โดยกษัตริย์มิน พาลอง ภายในมีการแกะสลักการแต่งกายของชาวยะไข่โบราณ









ปิดโปรแกรมวันนี้ด้วยวิวพระอาทิตย์ตกดินด้านบนยอดเขาครับ ทางขึ้นยอดเขานี้ต้องเดินผ่านเจดีย์เล็กๆ หนึ่งองค์ก่อน แล้วทางขึ้นเขาจะอยู่หลังเจดีย์ครับ พวกเราด้อมๆ มองๆ อยู่สักพักนึง เพราะมันมีอีกทางเป็นทางแยกสองทางให้ขึ้นครับ สุดท้ายแล้วเราเลือกเส้นที่ผ่านเจดีย์ขึ้นไปครับ เริ่มจากมองหาป้ายนี้ครับ View Point of Amyint Taung



ทริคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับใครที่ไม่มีเวลาขึ้นเขาเยอะนะครับ อาจจะต้องเลือกขึ้น ขอบอกจุดเด่นของเขานี้ คือจะมีมุมการถ่ายรูปทีค่อนขว้างกว้างครับ ถ่ายรูปเจดีย์มาได้หลายมุมมอง แต่อาจจะต้องพึ่งเลนส์เทเล พอสมควรสำหรับเขานี้นะครับ









ได้เวลาอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้วครับ
























ตกเย็นเราหาของกินที่โรงแรมครับ ทำอาหารค่อนข้างนานใช้ได้เลย และลองสั่งน้ำผลไม้กันครับ คือ น้ำมะนาว ส่วนแฟนลองน้ำแตงโมครับ แฟนบอกเค็มปิ้ดปี๋เลย เราก็เลยขอลองชิม ก็รู้สึกรสชาติเค็มและแปลกๆ พิกล แต่ก็ไม่ได้อะไรครับ อาจจะเป็นเพราะรสของแตงโมพม่า หารู้ไม่ว่า น้ำแตงโมแก้วนี้แหละ จะทำให้เราไม่ได้ไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้ T.T

ตกดึกแฟนเราเริ่มรู้สึกแน่น ท้องอืดเพราะอาหารไม่ย่อยครับ ตัวเริ่มร้อน เหมือนจะมีไข้ ตามมาด้วยอาการท้องเสียและอ่อนเพลีย หมดแรง ตกดึกเริ่มมีอาการหนาวสั่น แต่ละอาการมาเร็วและไปเร็วมากครับ ตอนแรกคิดว่าเป็นยุงมากัน จะเป็นไข้มาลาเรียรึเปล่า แฟนบ่นทั้งคืนครับว่าทรมาน นอนไม่ได้ นอนไม่หลับ เป็นอย่างนี้จนถึงเช้า ซึ่งเรามีคิวต้องออกไปขึ้นเขาอีกลูกหนึ่งดูพระอาทิตย์ขึ้นครับ เราจึงตื่นออกไปตอน 6 โมงเช้าเพื่อไปบอกทั้งกรุ้ปว่าให้ไปกันเลย แฟนไปไม่ไหว และเราอยู่ดูแลแฟนครับ หลังกรุ้ปเราเค้าดูพระอาทิตย์ขึ้นกันเสร็จแล้วก็กลับมาดูอาหารแฟนอีกทีว่าวันนี้จะเที่ยวไหวรึเปล่า ปรากฏว่าแฟนลุกมา 7 โมงกว่าๆ แล้วอ้วกครับ ให้ตายเถอะ การไม่สบายต่างถิ่นนี่มันช่างลำบากเสียจริง หลังจากอ้วกเสร็จแฟนก็บอกดีขึ้นมากเลย สันนิษฐานกันว่าอาหารเป็นพิษละครับงานนี้ ไม่น่าใช่ไข้มาลาเรีย และน่าจะเป็นจากน้ำแตงโมเค็มๆ แก้วนั้น เราเริ่มเสียว ว่าจะเป็นบ้าง เนื่องจากว่าขอชิมไป 1 อึก แต่อาการยังปกติดีอยู่ครับ

หลังจากกรุ้ปกลับจากดูแสงเข้ากันแล้วก็มากินข้าวกันที่โรงแรมครับ แฟนเรายังคงลุกไม่ไหวหลังจากอ้วกไป โชคดีว่ามีโจ๊กในไลน์บุฟเฟ่ต์อาหารเช้า เลยไปตักมาป้อนแฟนในห้องครับ และถึงแม้จะอ้วกและดีขึ้นแล้วก็ตาม แต่จากอาการเพลียที่ไม่ค่อยได้นอนเมื่อคืนยังคงอยู่ ทำให้ต้องขอบายทริปช่วงเช้าไปอีกครับ เราก็อยู่เฝ้าแฟนไปอีกครึ่งวันครับ หลังเที่ยงค่อยว่ากันใหม่ สำหรับวันนี้กรุ้ปของเราออกไปกัน 6 คน โดยไม่มีเรา 2 คนครับ หลักๆ คือเที่ยวเก็บเจดีย์เล็กๆ อื่นๆ รอบๆ เมือง ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะบอกคนรถว่าให้ขับพาไปที่ไหนกัน เหมากันไปแล้วก็ใช้ให้คุ้มครับ เราไม่มีภาพมาฝากกันสำหรับวันนี้เพราะต้องเฝ้าแฟนป่วยครับ จนถึงช่วงกินข้าวกลางวัน ทางรถตู้จะกลับมารับไปเที่ยวช่วงบ่ายกัน แฟนก็ยังไม่ไหว ขอพักฟื้นฟูให้เต็มที่ สุดท้าย เราได้ออกกันตอช่วงเย็นเลยครับ ไปดูพระอาทิตย์ตกนั่นเอง ตอนแรก พยายามจะเดินขึ้นเขาลูกข้างๆ เขาเมื่อวานเย็น ซึ่งกรุ้ปคนไทยที่เราเจอบอกว่าชันมาก เราเดินเข้าทางหมู่บ้านมองหาทางขึ้นกัน เดินมั่วๆ ขึ้นไปกัน สุดท้ายไปสุดกันตรงใกล้ถึงยอดครับ ชันจริงๆ ชันถึงขั้นตอนลงคงต้องเล่นสไลเดอร์ลงมา เลยตัดสินใจไม่ขึ้นลูกนี้แล้วลงมา











เราเดินต่อไปหาทางขึ้นอีกลูกนึงที่เค้าเรียกว่า Discovery ครับ ทางขึ้นจะมีป้ายเล็กมากๆ อยู่ ให้จ่ายค่าขึ้นครับ เดินขึ้นไปสักพักให้พอหอบนิดๆ ก็จะได้วิวสุดสวยมา












ทริคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับ Discovery View Point นี้ก็คือ เลนส์ไม่ต้องเทเลก็ได้ครับ ฉากเจดีย์จะอยู่ใกล้กว่าเขาเมื่อวาน แต่ข้อเสียของจุดนี้คือ ทุกเจดีย์จะเรียงตัวอยู่ในแนวเดียวกันหมดครับ ทำให้ถ่ายได้มุมเจดีย์มุมเดียว สำหรับเราแล้ว ชอบเขาเมื่อวานมากกว่าครับ

สำหรับวันนี้เราสองคนจึงได้แค่ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันครับ แต่เท่านี้ก็คุ้มมากแล้วครับ กับวิวที่ได้ แฟนถึงกับหายป่วยเลย 55555 เย็นวันนี้เราไปหาข้าวกินใกล้ๆ โรงแรมครับ ยังคงเป็นอาหารพม่าเพราะไม่มีร้านต่างชาติเลยครับ ร้านชื่อ Shwe Moe ร้านนี้เค้าให้ระวังโดนโก่งราคากันนะครับ ซึ่งเราก็ถามราคาก่อน กับข้าวพม่าที่ปกติจะเสิร์ฟใส่ชามเล็กๆ คิดจานละ 3,500 จ๊าดครับ ก็เกือบๆ ร้อย คิดว่าคงโดนโก่งแน่นอน แต่ไม่เป็นไร สั่งไม่ต้องเยอะ แล้วสั่งไข่เจียวมากินแทนละกัน เพราะยังไงๆ ก็กินอาหารพม่ากันไม่ค่อยเยอะอยู่แล้ว

แพลนของเช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังคงเป็นการไปดูพระอาทิตย์ขึ้นครับ ออก 6 โมงเช้าเช่นเดิม วันนี้เราไปอีกเจดีย์นึงซึ่งอยู่บนเขา ไปถึงตีนเขาตอนยังไม่มีแสง ไม่เห็นทางขึ้นเลยครับ คนรถเราก็ชี้ไปว่าน่าจะเป็นทางนั้น แต่เรามองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นเป็นทางขึ้นครับ 555 เอาละสิทำไงดี พอดี๊มีคนท้องถิ่นเดินมาเป็นกลุ่ม เลยจัดแจงส่งคนรถไปคุยซะเลยครับ ปรากฏว่าเค้ากำลังจะขึ้นเหมือนกัน และทางขึ้นก็คือทางที่คนรถเราบอกตอนแรกนั่นเองครับ เดินขึ้นไปพอได้หายใจหอบพอประมาณก็ถึงครับ วิวด้านบนเขาลูกนี้ ถ้าหันไปทางพระอาทิตย์ขึ้นจะไม่ได้เป็นวิวเจดีย์นะครับ แต่พอพระอาทิตย์ขึ้น แสงพระอาทิตย์จะขึ้นไปฉาบวิวเจดีย์ซึ่งอยู่ด้านหลังแทน ไปชมรูปกันดีกว่า











กลับลงมาถึงเห็นบริเวณด้านล่างทางที่เราขึ้นไปกันครับ


สำหรับวันนี้หลังชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เราจะนั่งเรือไปเยี่ยมหมู่บ้านชาวชินกันครับ รัฐชินเป็นรัฐที่อยู่ทางเหนือของพม่า โด่งดังในเรื่องผู้หญิงสักหน้า เดินทางไปหมู่บ้านได้โดยทางเรือครับ ใช้เวลาร่วมๆ 2 ชม ต่อเที่ยว






ที่นี่เราจะได้พบกับคุณยายสักหน้าครับ ว่ากันว่าหญิงสาวชาวชินสมัยก่อนหน้าตาสละสลวยสวยงามมาก เป็นที่ต้องตาต้องใจของกษัตริย์พม่า และถูกพาเข้าวังบ่อย ทำให้ผู้นำชาวชินต้องให้หญิงสาวสักหน้าเพื่ออำพรางความสวยของตน และเป็นประเพณีที่ทำสืบเนื่องกันมา ซึงปัจจุบันได้ถูกยกเลิกไปแล้ว หญิงสาวในหมู่บ้านชินที่เราเข้าไปก็จะเปิดเผยความสวยของตนได้อย่างเต็มที่ ส่วนคุณยายที่ยังอยู่ ก็ทยอยจากเราไปทีละคนสองคน จนเหลือคุณยายอยู่หมู่บ้านละ 4-5 คนที่เราได้เจอเท่านั้น







หมู่บ้านแรกจะเป็นหมู่บ้านคุณยายขายผ้าครับ มีผ้าพันคอ กระเป๋าชาวดอยสวยๆ คุณยายแต่ละคน ก็จะมีร้านของตัวเองครับ ไปถึงคุณยายจะมาต้อนรับเรา พร้อมแจกกล้วย ส่วนเราก็ซื้อขนมไปฝากเด็กๆ ในหมู่บ้านกันครับ เห็นบรรยากาศการแลกเปลี่ยนกันด้วยมิตรไมตรีแบบนี้แล้ว อดนึกที่จะอยากมาอยู่เป็นชาวบ้านแบบนี้ไม่ได้เลยครับ อยากไปใช้ชีวิตอยู่นอกเมืองใหญ่ให้รู้แล้วรู้รอดไป หลงรักบรรยากาศบ้านๆ ธรรมดาๆ แบบนี้ทู้กกกกทีที่ได้ออกนอกเมืองมาสัมผัส ก่อนกลับอย่าลืมอุดหนุนคุณยาย ซื้อผ้าแกด้วยนะครับ แบ่งๆ กันซื้อกับเพื่อนๆ คนละร้านไป เป็นการกระจายรายได้ให้คุณยายครับ ผืนละ 250 บาท หรือ 10,000 จ๊าดเท่านั้น






















ส่วนหมู่บ้านถัดมา หมู่บ้านที่สองนั้นจะเป็นคุณยายขอให้เราทำบุญครับ ระหว่างทางเดินเข้าหมู่บ้านไป ก็จะบรรยากาศคล้ายๆ กับหมู่บ้านที่แล้ว คุณยายสักหน้า เจ้าบ้านก็จะเดินออกมารับเราไปนั่งล้อมวงกันครับ พร้อมแจกกล้วย (อีกแล้ว 555) คุณยายแกจพูดผ่านไกด์โรงแรมที่พาเราไปครับ เล่าเรื่องความเป็นมาของหมู่บ้าน มีคนอิตาลีหรือสเปนนี่แหละ มาบริจาคสร้างโรงเรียนที่นี่ไว้ให้ ตอนนี้เขากำลังสร้างวัดในหมู่บ้านกันอยู่ ก็จะขอบริจาคตามกำลังศรัทธาครับ แล้วเค้าก็จะพาไปดูฐานรากโครงสร้างที่ได้เริ่มสร้างขึ้นไปบ้างแล้ว พร้อมกับออกเอกสารการบริจาคไว้ให้เราด้วยครับ เป็นอันเสร็จพิธี ได้รูปกับคุณยายแล้วก็ออกจากหมู่บ้านได้








ลืมบอกไปอย่างว่า ให้พกอาหารกลางวันไปเองนะครับ สำหรับทริปนั่งเรือไปหมู่บ้านชิน เพราะที่หมู่บ้านไม่มีขายครับ เว้นแต่ว่า ใครจะหว่านสเน่ห์ให้คุณยายหลงรักจนแกพาเข้าบ้านไปทำอาหารให้กินได้นะครับ
ตกเย็นวันนี้ขอชิวครับ ขี้เกียจปีนเขารัวๆ กันแล้ว เลยเดินขึ้นไปจิบเบียร์ที่ลานชมวิวของโรงแรมแทน วิวบนนี้เฉยๆ ครับ ไม่ตื่นตาตื่นใจเท่าเขาที่เราดั้นด้นปีนกันมาเมื่อวันก่อนๆ แต่ยุงนี่โคตรดุเลยครับ เกาะติดแน่นทนนาน ยังกับกาวตราช้าง ถ้าไม่ปัดให้โดนตัวมันนี่ แทบไม่ปล่อยครับ



หลังจากจิบเบียร์บนลานชมวิวแล้ว ก็เดินเข้าแถบตัวเมืองไปกินข้าวกันครับ ระหว่างทางเดินไป ก็งงๆ กันไปว่า นี่ทางไปตัวเมืองแน่เหรอ?? เพราะทางมันมืด แถมเหมือนจะไม่มีไฟ เพราะไฟดับขึ้นมาซะงั้น บางร้านก็จุดเทียน มองขึ้นไปบนบ้านคน ก็มีคนจุดเทียนอยู่กันในห้องนอนครับ ได้บรรยากาศของชีวิตบ้านนอกขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมๆ กับความอยากที่จะมาใช้ชีวิตแบบนี้จัง เดินอยู่เกือบกิโลก็ถึงร้านครับ หวังว่ามื้อนี้แฟนจะไม่ท้องเสียละนะ >< ร้านนี้ชื่อร้าน Happy Garden เป็นอีกร้านที่ขึ้นชื่อแถวนี้






จัดกันไปจนอิ่มแปร้ แทบจะเดินกลับไม่ไหวกันเลยทีเดียว ดีที่ขากลับ แสงไฟยามค่ำคืนกลับมาแล้ว ไม่งั้นคงมืดกว่าขาที่เดินมาเป็นแน่
เช้าวันสุดท้ายของทริป เราไปต่อกันที่เจดีย์ Shin Mra War เพื่อรับแสงเช้ากัน เขานี้ขึ้นไม่ยาก ทางขึ้นอยู่เยื้องๆ ตรงข้ามโรงแรมที่พักเลย มีบันไดเป็นขั้นๆ ให้เดินขึ้นพอจะสะดวกสบายกว่าเขาเมื่อวานพอควร วิวพระอาทิตย์ขึ้นเช้านี้จะติดเจดีย์มาด้วย แสงแรกของวันถ่ายกี่ทีๆ ก็ไม่มีเบื่อ โดยเฉพาะกับวิวที่เปลี่ยนไปในทุกๆ เช้า พอจะให้สาย Landscape อย่างเราได้ชื่นอกชื่นใจกัน







อยู่กันถึง 7 โมงกว่าๆ ก็ลงมาทานข้าวเช้าที่โรงแรมกันครับ เตรียมตัวนั่งรถกลับเมือง Sittwe กัน ระหว่างทางมีแวะเล็กน้อย คือที่เวสาลี และ จุดชมวิวที่เมืองจ๊อกตอว์ (Kyauktaw Mountain Pagoda) บรรยากาศดี เห็นแม่น้ำ และตัวเมืองได้อย่างชัดเจน กลับถึงเมือง Sittwe ก็ใช้เวลา 4 ชั่วโมงพอดี ระหว่างรอเครื่องก็ไปแวะกันที่ร้านกาแฟ café de Sittwe ครับ

ไฟลท์นี้บินตรงกลับย่างกุ้ง ช่วง 6 โมงเย็น แล้วใครจะต่อนก สิงโต หางแดง ไฟลท์ดึกกลับ กรุงเทพฯ กันก็ตามสบายนะครับ แต่แนะนิดนึงคือสนามบินใหม่ ไฟล์ท Domestic เนี่ย ขารับกระเป๋าออกยั้งงงงงจะมีตรวจสแกนอีก ทุกคน ทุกกระเป๋า!!!! คือถ้า Inter นี่พอเข้าใจได้นะ แต่นี่ Domestic มั้ย ปกติมันไม่ควรมีมั้ยนะ ทำให้แถวยาวเหยียดมาจนถึงสายพานรับกระเป๋าด้านใน 555 กว่าจะออกได้ ดีที่เราจองกลับกรุงเทพฯ ไฟล์ทเช้าวันรุ่งขึ้น ไม่งั้นเฉียดฉิวกับเที่ยวบินรอบดึกกลับกรุงเทพฯ แน่ๆ


ถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ เจอกันใหม่ทริปหน้านะจ้ะ บัยยยยยย






DJourney

No comments:

Post a Comment

Instagram